ทูตนอกแถว ตั้งคำถามการ เยือนซาอุ ของ ประยุทธ์ ชี้ ผู้นำสูงสุดก็ไม่ได้พบ ปุบปับแปลกๆ เชื่อซับซ้อนกว่าที่คิด นาย รัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador” ตั้งข้อสงสัยถึงการไปเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม
โดยนาย รัศม์ กล่าวว่า “หลายคนอยากฟังเรื่องการไปเยือนซาอุดีอาระเบียของผู้นำไทยที่ผ่านมา
ซึ่งก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีกับพัฒนาการนี้ การกลับมามีความสัมพันธ์ขั้นปกติและที่ดีกับซาอุดีอาระเบียจะอย่างไรถือเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเป็นสิ่งที่น่ายินดีครับ
ส่วนที่คนดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ออกมาให้ข่าวว่าเรื่องนี้เป็นผลงานล้วนๆ ของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อันนั้นจะจริงเท็จแค่ไหนนั้น คงต้องว่ากันอีกที
การเยือนครั้งนี้มีขึ้นอย่างค่อนข้างกะทันหัน และทำให้หลายคนแปลกใจ รวมทั้งไม่ทราบสาเหตุแท้จริงที่แน่ชัด แต่ดูเหมือนจะมาจากการตัดสินใจของทางซาอุดีอาระเบียที่เป็นคนเชิญเอง และที่ขณะนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศย่อมรู้ว่าขณะนี้ซาอุดีอาระเบียเองมีปัญหาทั้งภายในและด้านการต่างประเทศอย่างมาก ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างพวกราชวงศ์ด้วยกันเอง ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน การทำสงครามในเยเมน การทะเลาะและปิดล้อมกาตาร์ และปัญหาภาพลักษณ์จากการสังหารนายคาชอคกี นักข่าวนักวิจารณ์ชาวซาอุดีอาระเบียอย่างโหดเหี้ยม ทำให้กลายเป็นที่รังเกียจและหลายประเทศต้องรักษาระยะห่าง ไม่อยากคบค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลถึงการทำธุรกิจ การลงทุนต่างๆ ที่กระทบถึงเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียอย่างมาก และอย่างที่นักวิเคราะห์ทั่วไปรู้กัน คือผู้มีอำนาจในซาอุฯขณะนี้เป็นอีกสายหนึ่งกับทางเจ้าชายที่ถูกโจรกรรมเพชรมาไทย จึงอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้นัก รวมทั้งเรื่องการสังหารนักธุรกิจพระญาติสนิทราชวงศ์คนก่อนในไทยด้วย
เมื่อประกอบรวมกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทางซาอุดีอาระเบียเชิญผู้นำไทยไป ไม่ว่าจะเพื่อแสดงบทบาทด้านการต่างประเทศ หรือการยกบทบาทให้กับมกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียก็ตาม
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ปัจจุบันทางซาอุดีอาระเบียอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการโจรกรรมเพชรและการฆ่านักธุรกิจเชื้อพระวงศ์เช่นเดิมนัก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่น่าที่จะลืมเรื่องนี้โดยง่ายดาย และเท่าที่เห็นรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ไม่สามารถคลี่คลายคดีทั้งสองที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการนำไปสู่การปรับความสัมพันธ์ระหว่างกันได้แต่อย่างใด จึงทำให้ยากจะมองได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะผลมาจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาของฝ่ายไทยเป็นหลัก
ศาลยกฟ้อง คดี ‘ชัยภูมิ ป่าแส’ ชี้ป้องกันตัวตามโดยชอบด้วย กม.
ศาลยกฟ้อง คดี ชัยภูมิ ป่าแส นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกทหารยิงเสียชีวิตในปี 60 ชี้ เป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลแพ่งนัดอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ พ2591/2562 ที่นางนาปอย ป่าแส มารดาของ นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเยาวชนสิทธิมนุษยชน ชาวลาหู่ เป็นโจทก์ฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลย ให้ชดใช้ทางละเมิด
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร ได้วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ที่บริเวณด่านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.60 ที่ผ่านมา
โดย นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความ ให้สัมภาษณ์หลังศาลพิพากษา ระบุว่า ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง และให้กองทัพบกไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายตามคำฟ้องของมารดานายชัยภูมิ ป่าเเส และครอบครัว โดยประเด็นสำคัญที่ศาลวินิจฉัยศาลเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง นายชัยภูมิ ถึงแก่ความตายเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ต้องรับผิด เหมือนกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ส่วนมีประเด็นที่โต้แย้งหลายประเด็นในศาลชั้นต้น โดยเฉพาะประเด็นสำคัญคือภาพจากกล้องวงจรปิด โดยได้ให้ข้อมูลกับศาลว่าทหารได้มีการทำสำเนาไว้ โดยมีหลักฐานจากทหารนายหนึ่ง ตำแหน่ง ร้อยโท ยืนยันว่าผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ทำสำเนาไว้
ดังนั้นถ้าบอกว่าภาพจากกล้องวงจรปิดขัดข้อง แต่หลักฐานจากกล้องวงจรปิดยังมีอยู่ แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่ายังมีพยานหลักฐานอื่น คือ คำเบิกความของพยานคือทหาร 3 นาย และคำให้การของพนักงานสอบสวน รวมทั้งศาลหยิบยกเอาการยิงเข้าที่ต้นแขนซ้าน คือการยิงโดยไม่เจตนาประสงค์ต่อชีวิต แต่ความจริงคือเมื่อกระสุนเข้าที่ต้นแขนซ้ายแล้วทะลุมาที่สีข้างซ้ายซึ่งเป็นเหตุที่เขาถึงแก่ความตาย โดย นายรัษฎา กล่าวว่า เราเคารพคำพิพากษา แต่ยังมีจุดที่ไม่เห็นด้วยอยู่
ขณะที่พยานโจทก์ที่เป็นชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่าเมื่อได้ยินเสียงปืน เห็นทหารกดตัวชัยภูมิลงกับพื้น และยืนยันว่ามีการทำร้าย แต่ศาลอุทธรณ์หยิบเอารายงานของแพทย์ไม่มีระบุแพทย์ฟกช้่ำ ทั้งนี้คดีนี้มีข้อจำกัด เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุแล้ว ทหารปิดล้อมพื้นที่ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ อาเบ แซ่หมู่ ที่ถูกยิงเสียชีวิตก่อนหน้าชัยภูมิ
นอกจากนี้ผมมีข้อสังเกตว่าไปเยือนคราวนี้ ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายบินไปหาเขา แต่ไม่ได้ถูกจัดให้เข้าพบกษัตริย์-นายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียแม้สักนิด ซึ่งแลดูไม่ค่อยสมศักดิ์ศรี หรือก็คือเขาก็ไม่ได้ให้เกียรติอะไรเรานัก ไม่ทราบว่า ทำไมไม่สามารถเจรจาให้มีโอกาสเข้าพบกษัตริย์-นายกรัฐมนตรีของเขาเลย
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป